นายมีชัย วีระไวทยะ
ผู้ก่อตั้งและนายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน
ชีวิตการทำงานของผมใน PDA แบ่งได้เป็น 5 ด้าน
เริ่มต้นจากสมัยที่ผมทำงานอยู่ที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและได้ออกไปปฏิบัติงานในจังหวัดต่างๆ สังเกตเห็นว่ามีเด็กเล็กวิ่งเล่นตามหมู่บ้านมากมาย จึงเกิดความสงสัย
หลังจากนั้นได้ศึกษาข้อมูลต่างๆ จนพบว่าอัตราการเกิด และอัตราการเพิ่มของประชากรของประเทศในขณะนั้นสูงถึงร้อยละ 3.3 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก
อาจทำให้งานพัฒนาแบบที่ทำอยู่ตามไม่ทันกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงคิดว่าจะต้องมี โครงการชะลอการเกิด ในระหว่างนั้นก็พยายามกระตุ้นให้รัฐบาลหันมาสนใจปัญหาประชากร ซึ่งได้ผลในระดับหนึ่ง
ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากสภาพัฒน์ฯ เพื่อทำงานในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเข้าร่วมงานกับสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย เริ่มจากการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาก่อน ต่อมาได้รับเลือกเป็นเลขาธิการ
ทำงานได้ระยะหนึ่ง จนเห็นว่าเราควรจะเริ่มทำโครงการที่มีลักษณะใหม่ ไม่เหมือนของเก่า จึงได้ออกมาตั้ง “สำนักงานบริการวางแผนครอบครัวชุมชน” และได้เช่าสำนักงานอยู่ที่สุขุมวิท ซอย 14 หลังจากนั้น 3 ปี จึงได้ย้ายมาอยู่ที่สุขุมวิท ซอย 12 ในปี พ.ศ. 2520 ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ชื่อ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน โดยมีคำขวัญว่า “ลูกมากจะยากจน” ในช่วงเริ่มต้นก่อตั้งสำนักงานบริการวางแผนครอบครัวชุมชน เราได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือจากบุคคลสำคัญที่จะต้องจดจำไว้เป็นประวัติศาสตร์ของสมาคมฯ 2 ท่านได้แก่นายแพทย์อัลแลน โรเซนฟีลด์ (Dr.Allan Rosenfield, MD.) และ ดร.นายแพทย์ มัลคอล์ม พ๊อทส์ (Dr.Malcolm Potts, MD, PhD.) ผมได้รู้จักทั้ง 2 ท่าน จากการประชุมสัมมนาเรื่องประชากรที่จังหวัดเชียงใหม่ จัดโดย Population Council ซึ่งการประชุม ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่อง การใช้สื่อ 6 เดือนผ่านไปก็ยังไม่เกิดผล ต่อมาผมได้หารือกับทั้ง 2 ท่านว่า รัฐบาลได้ประกาศนโยบายประชากรแห่งชาติในปี พ.ศ.2513 แต่ว่ามีการทำงานไม่กว้างและไม่มีการประชาสัมพันธ์ ผมเห็นว่าเราจำเป็นต้องช่วยกระตุ้นให้ความรู้ และขยายการให้บริการยาเม็ดคุมกำเนิด และถุงยางอนามัยไปสู่ชนบท เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยได้เขียน โครงการวางแผนครอบครัวชุมชน ซึ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในระบบ Community Based Distribution System : CBD มีวัตถุประสงค์ อบรมชาวบ้าน และครูให้เป็นอาสาสมัคร เพื่อเผยแพร่ความรู้และให้บริการยาเม็ดคุมกำเนิดและถุงยางอนามัยให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลชุมชนและสถานพยาบาลซึ่งนายแพทย์ทั้ง 2 ท่าน ได้ร่วมกันสนับสนุนและประสานงานจนโครงการได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากสหพันธ์วางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ International Planned Parenthood Federation (IPPF)
แต่โครงการวางแผนครอบครัวชุมชนซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก IPPF จะต้องนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากณะกรรมการวางแผนครอบครัวแห่งชาติซึ่งหลังจากเสนอขออนุมัติดำเนินโครงการแก่คณะกรรมการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ กรรมการบางคนในคณะกรรมการได้มีข้อปรารภว่า การจ่ายยาคุมกำเนิดเป็นหน้าที่ของหมอ พยาบาลและผดุงครรภ์เท่านั้น ไม่ควรให้ชาวบ้านจ่ายยาคุม ด้วยความเข้าใจและอยากให้โครงการเกิด นายแพทย์เชิด โทณะวณิก อธิบดีกรมการแพทย์และอนามัยในขณะนั้นได้เสนอว่า แพทย์จากกรมการแพทย์และอนามัยในอำเภอต่างๆ จะเป็นที่ปรึกษาให้แก่อาสาสมัครวางแผนครอบครัวของโครงการซึ่งทำให้โครงการได้รับอนุมัติให้ดำเนินการได้ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2517 ด้วยทุนสนับสนุนการดำเนินงานจาก IPPF เป็นเวลา 5 ปี และเรามีนายแพทย์สาธารณสุขอำเภอเป็นที่ปรึกษาโครงการทั้ง 73 อำเภอ ทั่วประเทศในระยะแรก
การดำเนินงานวางแผนครอบครัวชุมชนในช่วงแรกเริ่มต้นด้วย การอบรมอาสาสมัครชาวบ้านให้รู้ถึงผลเสียของการมีลูกมาก รู้จักยาเม็ดคุมกำเนิด และถุงยางอนามัย ในการเปิดตัวโครงการ นายแพทย์เชิด โทณะวณิก ได้เชิญผมไปพูดเรื่องโครงการเพื่อชักจูงให้แพทย์ที่อยู่ในชนบทหันมาสนใจและสนับสนุนโครงการของเรา ซึ่งส่วนใหญ่นิ่ง ยกเว้นแพทย์เพียง 1 คน จากอำเภอบางละมุง คือ นายแพทย์คม ป้องขันธุ์ ได้ยกมือและพูดว่า ผมอยากร่วมมือกับโครงการ อำเภอบางละมุงจึงเป็นอำเภอแรกที่เราเปิดดำเนินการและอีก 72 อำเภอก็เปิดต่อๆ กันมาโดยแพทย์เริ่มเข้าใจและสนใจร่วมมือกับเรา นอกจากการอบรมชาวบ้านแล้วเรายังอบรมอาสาสมัครครูวางแผนครอบครัวภาคฤดูร้อน (อบรม อสร.) โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสถานพยาบาลคุรุสภา ซึ่งมีนายแพทย์พงษ์ศักดิ์ วิทยากร เป็นผู้อำนวยการในขณะนั้น กระทรวงสาธารณสุขให้การช่วยเหลือโครงการด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์คุมกำเนิด (ยาเม็ดคุมกำเนิดและถุงยางอนามัย) มาตลอด 20 กว่าปี
ผู้มีส่วนช่วยให้งานสำเร็จมีอีก 2 ท่านที่จะต้องกล่าวถึงคือ คุณธวัชชัย ไตรทองอยู่ (เลขาธิการสมาคมฯ) กับคุณสุธา ชัชวาลวงศ์ (ที่ปรึกษาอาวุโส) เดิมเรา 3 คน ทำงานที่สภาพัฒน์ฯ (สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ด้วยกัน พอผมลาออกมาทำงานที่สมาคมวางแผนครอบครัว คุณธวัชชัยก็ยังมาช่วยงานในตอนเย็นแต่พอผมตั้งสำนักงานบริการวางแผนครอบครัวชุมชน คุณธวัชชัย ก็ลาออกจากสภาพัฒน์ฯ และมาร่วมทำงานเต็มเวลาและช่วยบริหารจัดการดูแล ให้สมาคมฯ มีความมั่นคงจนถึงปัจจุบัน ส่วนคุณสุธา ลาออกเมื่อเราเปิดคลีนิคชุมชนที่พัฒน์พงศ์ ซึ่งเปิดทำงาน 12.00–24.00 น. คุณสุธา ถูกใจมาก เพราะชอบทั้งเวลาทำงานและสถานที่ สำหรับคลินิกชุมชนที่พัฒน์พงศ์นั้น ต่อมาเติบโตเป็น บริษัท พัฒนาประชากร จำกัดในปัจจุบัน และเป็นบริษัทฯ ที่สนับสนุนให้สมาคมฯ ดำเนินงานสาธารณประโยชน์ พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
งานที่เราทำ ได้รับความร่วมมือจาก หน่วยงานราชการเป็นอย่างดี และในที่สุดผลงานของชาติ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้นำ ทำให้ประเทศไทยสามารถลดจำนวนบุตรในแต่ละครอบครัวจาก 7 คน เหลือ 2 คน และอัตราการเพิ่มประชากรลดลงจาก ร้อยละ3.3 เป็นร้อยละ2.5 ดังนั้นเราต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกาสให้มีโอกาสมากขึ้น ได้แก่การสร้างศูนย์พัฒนาชนบทสมผสาน (Community Based Integrated Rural Development Center : CBIRD) จำนวน 16 แห่ง ใน 11 จังหวัด เป็นศูนย์เรียนรู้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมความรู้และทักษะด้านต่างๆ โครงการส่งเสริมสุขภาพอนามัย เช่น สร้างโอ่ง ส้วม ถังน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค โครงการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยพิบัติโครงการฝึกอบรมนานาชาติด้วยการเผยแพร่ ประสบการณ์ในการทำงานของสมาคมฯและที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้คือโครงการร่วมพัฒนาหมู่บ้าน (Village Development Partnership : VDP) ในอำเภอต่างๆ ในจังหวัดบุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม และนครราชสีมา ประมาณ 150 หมู่บ้าน
สำหรับโครงการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวี ได้ดำเนินการในลักษณะของโครงการเงินกู้สายสัมพันธ์ หรือเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในชื่อโครงการปาท่องโก๋ (Positive Partnership Program) ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถยกระดับชีวิตของตนให้พ้นจากความยากจน และลดการรังเกียจด้วยการสร้างความสัมพันธ์ในรูปแบบหุ้นส่วนธุรกิจระหว่างผู้ติดเชื้อและผู้ไม่ติดเชื้อ ซึ่งโครงการนี้ประสบผลสำเร็จ และเป็นโครงการดีเด่น (Best Practice) ของยูเอ็นเอดส์ (UNAIDS) นอกจากนี้จะขยายความช่วยเหลือไปสู่ผู้ด้อยโอกาสในลักษณะพี่ใหญ่ช่วยน้องเล็ก โดยดำเนินการเพิ่มเติมกับกลุ่มประชาชนที่ทุพพลภาพ รวมถึงผู้ได้รับผลกระทบจากภัยทุ่นระเบิด คนพ้นโทษ ผู้หญิงกับเด็กกำพร้าและคนพิการกับคนไม่พิการรวมทั้งแม่หม้าย ให้หาคู่บัดดี้ (Buddy) ที่ไม่มีปัญหาเช่นเดียวกับเขามาเข้ารับการฝึกอบรม และให้เงินกู้ประกอบอาชีพเพื่อนำเขากลับไปสู่สังคมอย่างปกติ ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
ถึงแม้จะพ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการแล้ว แต่ผมยังเป็นนายกสมาคมฯ อยู่และเต็มใจจะช่วยเหลือสมาคมฯต่อไปในด้านนโยบาย การหาทุน และความคิดเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ขณะนี้ผมใช้เวลาส่วนหนึ่งดูแลงานด้านส่งเสริมการศึกษา โดยเฉพาะการสร้างโรงเรียนมัธยม ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ด้วยการใช้ไม้ไผ่เป็นโครงสร้างอาคารเรียน และอาคารอเนกประสงค์ ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและการลดภาวะโลกร้อน เพื่อต่อยอดให้กับนักเรียนที่จบจากโรงเรียนประถม ซึ่งสร้างและสนับสนุนการดำเนินงานโดยภาคธุรกิจเอกชน โรงเรียนประถมแห่งนี้ได้รับการประเมินผลระบบการศึกษาโดยมหาวิทยาลัย ทัสมาเนีย ประเทศออสเตรเลีย ว่าเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพในระดับสากลและมีคุณภาพเทียบเท่ามาตรฐานโรงเรียนนานาชาติ สำหรับโรงเรียนมัธยม ผมเป็นผู้ก่อตั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคธุรกิจเอกชน นอกจากนั้นยังได้รับความช่วยเหลือ จากบางครอบครัว ทั้งในและนอกประเทศ โดยให้โรงเรียนอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของมูลนิธิใหม่ที่มีชื่อว่ามูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ ในปีการศึกษา 2552 เปิดรับนักเรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 เป็นปีแรกจำนวน 30 คน โดยในปีการศึกษา 2553 จะมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนของเราได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่มาศึกษาดูงานระบบการเรียนการสอน ที่เน้นการสร้างคนดีมีจิตสาธารณะ
ในเรื่องของโรงเรียน ผมมีแนวคิดที่จะใช้โรงเรียนเป็นศูนย์เรียนรู้ (School-Based Integrated Rural Development Project : School-BIRD) เป็นจุดที่กระตุ้นความคิดและให้ความรู้แก่ทุกคนในชุมชนในทุกเรื่อง เช่น กฏหมาย ประชาธิปไตย อาชีพ และเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและพร้อมเป็นศูนย์เศรษฐกิจพอเพียงโดยร่วมมือกับครอบครัว เด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ ให้ปู่ย่า ตายาย ได้สอนเด็กในเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิถีชีวิตเพื่อให้เด็กรักถิ่นเกิด
สิ่งที่เริ่มดำเนินการใหม่ในปี 2553 คือการกระตุ้น เพื่อสร้างจิตสำนึกให้คนไทยมีจิตอาสา โดยหวังว่าในระยะยาว ประเทศไทยจะมีผู้ที่มีจิตสาธารณะที่ปรารถนาจะให้สังคมดีขึ้น โดยเริ่มต้นที่โครงการของเล่นประจำหมู่บ้าน และในกลางปี 2553 จะเริ่มเข้าไปในโรงเรียน กระตุ้นให้เด็กประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษาตอนต้น มีความสนใจจะร่วมกันทำให้สังคมดีขึ้น และจะเริ่มโครงการอาสาสมัครพัฒนาชนบท ซึ่งหวังว่าจะเป็นโครงการร่วมระหว่างสมาคมฯ กับมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ
นอกจากนี้ยังปรารถนาที่จะให้มูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ เป็นหน่วยงานเล็กๆ ที่เริ่มทดลองศึกษาค้นหาแนวทางพัฒนาใหม่ๆ และเมื่อประสบความสำเร็จ สามารถนำไปดำเนินการและขยายผลต่อไปได้ หากสมาคมฯ สนใจ ผมถือว่ามูลนิธิใหม่นี้เปรียบเสมือนน้องใหม่ของสมาคมฯ
ตลอดชีวิตการทำงาน ผมมีเพื่อนร่วมงานที่ดี คอยสนับสนุนและช่วยเหลือ และในขณะเดียวกันมีโอกาสได้ทำงานกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ในตำแหน่งต่างๆ แต่หน่วยงานที่ทำให้ผมและครอบครัวมีความสุขมากที่สุด คือ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน